วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

PERIPHERALS.

Digital camera

กล้องดิจิตอลมีกี่ชนิด และมีอะไรบ้าง?
     หากจะถามว่าทุกวันนี้เราสามารถแบ่งประเภทของกล้องดิจิตอลได้กี่ประเภทแล้ว? คำตอบก็คือ เราสามารถแยกได้ทั้งหมด 3 ประเภท ตามที่ใช้กันมากในปัจจุบัน คือ 1.กล้อง Compact 2.กล้อง Mirrorless  ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรูปแบบการใช้งานและคุณสมบัติแตกต่างกันมากครับ โดยเฉพาะการเลือกกล้องสำหรับผู้ใช้ทั่วไปนั้น ตัวเลือกระหว่างกล้อง Compact และกล้อง Mirrorless ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
กล้อง Compact
     กล้องคอมแพคจิ๋วแต่แจ๋วพลังสูงชนิดนี้เรามักจะพบเห็นคนนิยมใช้กันมากครับ เนื่องด้วยความสะดวกในการใช้งานแบบ เล็งและถ่ายทั้งยังมีจุดเด่นด้านความเล็กสะดวกพก สำหรับคนที่ไม่ต้องการคุณภาพของภาพชนิดว่าต้องไปขยายใหญ่ขึ้นป้ายบนทางด่วน หรือไม่ต้องวุ่นวายตั้งค่าอะไรมากมายกว่าจะได้รูปสวยๆ ไว้อัพขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์ค จึงเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กล้องดิจิตอลแบบคอมแพคกันมาก
     โดยกล้องประเภท Compact นั้น ในปัจจุบันผู้ผลิตกล้องก็มีการแข่งขันกันเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับการใช้งานให้ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น มีลูกเล่นหลากหลายขึ้น ทั้งการถ่ายภาพแบบพาโนรามาที่เหมาะกับการเก็บภาพวิวทิวทัศน์ที่ประทับใจ เรียกว่าตอบโจทย์ของความง่ายได้อย่างครบถ้วน
กล้อง Mirror less
     กล้อง Mirrorless รวมจุดเด่นของกล้องทุกชนิดกล้องอีกประเภทที่พึ่งจะได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็คือกล้อง Mirrorless ที่คล้ายกับกล้อง Compact ในด้านความเล็ก แต่กลับมีความสามารถในการเปลี่ยนเลนส์ได้ (ที่มักจะมีในกล้องขนาดใหญ่) แถมคุณภาพของภาพที่ได้จากกล้องชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคมชัดของภาพ หรือความอิ่มตัวของสี ก็จัดว่าให้คุณภาพที่สูงมากเลยทีเดียว
     แน่นอนที่ว่า จุดเด่นของกล้อง Mirror less นั้น ก็คือรูปร่างของตัวกล้องที่พกพาสะดวก แม้ว่าจะติดตั้งเลนส์ไปแล้วก็ยังเล็กถือว่าเล็กกว่ากล้องสำหรับมืออาชีพอย่าง DSLR อยู่ดี สาเหตุที่สามารถลดหุ่นของตัวกล้องได้ขนาดนี้ ก็เนื่องมาจากการตัดชิ้นส่วนที่เป็นกระจกสะท้อนภาพที่มีในกล้อง DSLR ออกไป จากนั้นก็แทนที่ด้วยการแสดงผลภาพผ่านจอ LCD ที่ตัวกล้องเองเลย
     อีกจุดเด่นก็คือเรื่องคุณภาพของงานของกล้องประเภทนี้สูงกว่ากล้อง Compact ก็เพราะว่าตัวกล้องมีเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ แถมยังสามารถเลือกใช้เลนส์ได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ความยาวโฟกัสมากไปถึงน้อย ซึ่งตอบโจทย์การถ่ายภาพได้ดีกว่าเลนส์เล็กๆ ที่ติดมากับกล้อง Compact นอกจากนั้นเลนส์บางรุ่นที่คุณภาพสูง มักจะมีระบบกันสั่นมาให้ด้วยทำให้ภาพที่ได้ออกมาคมชัดสดใสไม่เบลอให้เสียอารมณ์
     แต่อย่างไรก็ดี การที่ภาพจะออกมาได้อย่างสวยงามแค่ไหนนั้น 50% แม้จะอยู่ที่อุปกรณ์ดี แต่อีก 50% นั้นก็จะอยู่ที่มุมมองของผู้ถ่ายด้วยเช่นกันครับ เพราะอย่าลืมว่ากล้องเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ไว้ถ่ายทอดเท่านั้น ของสำคัญมันอยู่ที่ช่วงจังหวะเวลา ความอดทน และความสามารถด้านศิลปะของคนถ่ายประกอบกันไปครับ
ว่าแต่เราจะเลือกกล้อง Compact หรือ Mirror lessดีล่ะ?

     การเลือกกล้องสองประเภทนี้ ง่ายมากเลยครับ อยู่ที่เราจะตอบตัวเองได้ไหมว่าต้องการอุปกรณ์ไปใช้งานแบบใด และต้องการคุณภาพในการถ่ายภาพในระดับไหน
     - ชอบแบบพกพาง่ายๆ ยกขึ้นถ่ายสะดวกๆ ไม่ต้องมีพีธีรีตรองอะไรมาก เอาไว้อัดใส่กรอบขนาดทั่วๆ ไปได้ อัดลงอัลบั้มไว้ดูให้ระลึกถึง ขอให้ภาพสวยดูดีเป็นพอ แนะนำให้เลือกกล้องคอมแพคเลยครับตอบโจทย์ของท่านได้มากที่สุด โดยเฉพาะกล้องรุ่นใหม่ๆ มักจะมีฟีเจอร์ด้านการตกแต่งภาพ การถ่ายภาพหลากหลายรูปแบบ ทั้งพาโนรามา ภาพแบบเลนส์ตาปลา ภาพวินเทจ ฯลฯ เรียกว่าถ่ายง่ายแถมสนุกอีกต่างหาก
     - ชอบแบบยุ่งยากหน่อยแต่ให้คุณภาพงานที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด หรือชอบที่สามารถปรับแต่งได้เองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วของชัตเตอร์ ความกว้างของรูรับแสง โฟกัสกล้องปรับเองได้ทุกสต๊อป แม้กระทั่งเปลี่ยนเลนส์ที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพในแต่ละสถานการณ์ เพื่อสร้างสรรค์ภาพออกมาได้ตรงกับที่ต้องการมากที่สุด แต่ก็ยังตอบโจทย์ด้านการพกพาด้วยนะ! แนะนำกล้องประเภท Mirrorlessเป็นคำตอบสุดท้าย
Memory Card
1.PCMCIA Card หรือ PC Card
เป็นจุดกำเนิดของ การ์ด โดยถูกพัฒนาขึ้นมาจากอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ในยุคปลายทศวรรษที่ 80 จุดประสงค์คือต้องการให้คอมพิวเตอร์แลปท๊อปสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้ มีด้วยกัน 3 แบบคือ
1.PCMCIA Type I บางสุด
2. PCMCIA Type II แบบกลางๆ
3. PCMCIA Type III ใหญ่สุด
 
2. Compact Flash Card
เป็นการพัฒนาจาก PCMCIA Card ให้มีขนาดลดลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้สั้นลง และยังคงความสามารถในการจุความจำข้อมูล โดยในปี 1994 Kodak , Cannon , Polaroid ได้ร่วมกับ Sandisk เพื่อการพัฒนาหน่วยความจำแบบนี้ขึ้นมาซึ่งมีชื่อเรียกว่า Compact Flash หรือ CF Card โดยต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในด้านการถ่ายภาพ เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่ถูกนำมาพัฒนาเป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์อย่าง Pocket PC หน่วยความจำสูงสุดในตอนนี้คือ 4GB ปัจจุบันใช้ในกล้องดิจิตอลลดลง แต่กลับไปเพิ่มที่ เครื่องเล่น mp3 อย่าง ipod Mini ของ apple เป็นต้น

3. SmartMedia Card
เป็นการพัฒนาโดยการกำหนดมาตรโดย Olympus และ Fujifilm โดยใช้ในการเก็บข้อมูลของภาพดิจิตอลของ ทั้งสองบริษัทนี้ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ โดยจุดที่ได้เปรียบของการ์ดรุ่นนี้คือ บางกว่า CF Card โดยทั้งสองประเภทถูกพัฒนาพร้อมๆกัน แต่ก็มีข้อเสีย ก็มีอยู่คือ การ์ดชนิดนี้จะเก็บได้แต่ข้อมูลอย่างเดียว ไม่มีความจำที่จะควบคุมการ์ด โดยส่วนควบคุมจะติดอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมเท่านั้น การ์ดตัวนี้ไม่ค่อยจะแพร่หลายนัก เพราะเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Olympus และ Fujifilm เท่านั้น ในปัจจุบันเลิกผลิตการ์ดนี้ไปแล้ว
 
4. MMC [MultimediaCard] และ RS-MMC [Reduced – size MMC]
เริ่มต้นในปี 1997 โดย Sandisk ร่วมกับ Nokia และ Ericsson ได้ทำการพัฒนาหน่วยความจำแบบใหม่นี้มาใช้กับโทรศัพท์มือถือ จุดเด่นของการ์ดนี้คือ บางเพียง 1.4 mm. ซึ่งถือว่าบางที่สุดในขณะนั้น เหมาะสำหรับนำไปใช้อุปกรณ์ อย่างกล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ Pocket PC โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาความจุไปถึง 4 GB ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เรียกว่า RS-MMC เพื่อใช้กับมือถือเป็นหลัก ซึ่งได้แก่รุ่นต่างๆ เช่น 7610 เป็นต้น
DVRS-MMC = มีขนาดเท่ากับ RS-MMC ระบบ dual volt (แรงดันไฟ 2 ระดับ) ใช้กับมือถือรุ่น 6630, 6670, 6680, 6681และใช้กับมือถือที่ใช้ MMC และ RS-MMC
5.SD Card [ SecureDisk Card ] และ Mini SD
การ์ดชนิดเริ่มขึ้นหลังจาก MMC อยู่ในตลาดได้ไม่นาน โดยที่ Toshiba และ Panasonic เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน และได้ร่วมพัฒนาไปกับ Sandisk รูปร่างของ SD และ MMC จะมีความกว้างและความยาวเท่ากัน และ SD จะหนากว่า MMC โดยหนาประมาณ 2.1 mm. ซึ่งความหนานี้มีส่วนช่วยให้ความจุของการ์ดชนิดนี้มีมากขึ้น รวมถึงเรื่องขั้ว Connecter ของการ์ดจะมีความต่างจาก MMC อยู่ 2 ขา กล่าวคือใน MMC จะมีขาทั้งหมด 7 ขา ส่วนใน SD จะมี 9 ขา ซึ่งจุดนี่เองที่ทำให้ SD เป็นที่นิยมต่อจาก MMC เพราะสามารถโอนข้อมูลได้รวดเร็วกว่า MMC ถึง 2 เท่า กล่าวคือ ใน MMC ความเร็วในการโอนข้อมูลจะอยู่ที่ประมาณ 1Mbps ส่วนใน SD จะมีความเร็วของโอนข้อมูลอยู่ประมาณ 2 Mbps ส่วนฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใน SD คือ การป้องกันเขียนซ้ำได้ โดยจะมีตัวเลื่อนล็อคในด้านข้างของ SD แต่ MMC ก็ใช่ว่าจะเสียเปรียบทุกอย่าง มีข้อดีเหมือนกันตรงที่ว่า พื้นที่ในการเก็บทุก 64 MB จะมีการสูญเสียพื้นที่ประมาณ 0.5 MB ส่วนของ SD จะมีการสูญเสียในการเก็บ 64 MB อยู่ประมาณ 1.5 MB ซึ่งห่างกันมาก ส่วนความจุของ SD ก็มีตั้งแต่ 32 MB ไปจนถึง 6 GB แล้วในปัจจุบัน
 
6.Memory Stick – Memory Stick Pro – Memory Stick Duo – Memory Stick Pro Duo
Memory Stick เป็นการพัฒนาจาก Sony ซึ่งนำมาเก็บข้อมูลต่างๆ จากอุปกรณ์ของ Sony เอง เช่น กล้องถ่ายและบันทึกภาพ เครื่องบันทึกเสียง โทรศัพท์เคลื่อนที่ Palm และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น ข้อเด่นของ การ์ดแบบนี้คือ กินกระแสไฟต่ำ การเขียนและอ่านรวดเร็ว โดยขนาดของความจุจะขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น เช่น memory Stick จะมีความจุ 256 MB และ memory Stick Duo จะมีความจุ 2 GB memory Stick Duo ถูกพัฒนาเพื่อให้ใช้ในเครื่องมือถือและกล้องดิจิตอลโดยเฉพาะ ที่ต้องอาศัยขนาดการ์ดที่เล็กมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 256 MB และ Memory Stick Pro Duo จะมีขนาดเท่ากับ Memory Stick Duo แต่มีความจุมากกว่า ซึ่งสูงสุดอยู่ที่ 1 GB โดยที่จะมี Adapter ช่วยแปลงมาเป็น Memory Stick ได้อีกด้วย โดยปัจจุบันการ์ดรุ่นนี้จะใช้ใน มือถือของโซนี่อีริกสันหลายรุ่น เช่น P910i P900 K750i S700i เป็นต้น ซึ่งการ์ดนี้จะเป็นการ์ดที่มีราคาค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับการ์ดด้านบน
 
7. TransFlash Card
เป็นการพัฒนาโดยความร่วมมือของ Motorola และ Sandisk โดยได้มีการพัฒนาให้เป็นการ์ดที่ใช้ในโทรศัพท์แท้จริง เมื่อมันมีรูปร่างเพียง 11 x 15 mm. หนาเพียง 1mm. โดยมีการกินไฟที่ต่ำมาก แต่มีความจุถึง 1GB โดยปัจจุบัน Motorola ได้นำมาใช้กับมือถือของค่ายเค้า ในการเก็บข้อมูลทั้งโปรแกรมและสิ่งบันเทิงต่างๆ และนอกจากนี้การ์ดประเภทนี้สามารถใช้ adapter แปลงให้มาเป็น SD Card ได้อีกด้วย

8. MMC micro
เป็นการพัฒนามาจาก MMC และ RS-MMC มีขนาดเป็น 1 ใน 3 ของ RS-MMC มีรูปร่าง 12 x 14 x 1.1 mm. ความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 10 MB ต่อวินาที และเขียน 7 MB ต่อวินาที ซึ่งนับว่าเร็วมาก สามารถลบและเขียนซ้ำลงไปได้ประมาณ 100,000 ครั้ง ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับมือถือติดกล้อง Megapixelโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของ Samsung มีความจำขนาด 32MB 64MB และ 128MB มีกำหนดออกวางจำหน่ายต้นปี 2006 คับ
 
9. SD-USB memory card

เป็นการพัฒนาของ Sandisk เพื่อจุดประสงค์ในการเสียบต่อความจำภายนอกโดยไม่ต้องผ่านอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น การ์ดรีดเดอร์ อุปกรณ์ flash ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมีความเร็วในการอ่านและเขียนเร็วกว่า RS-MMC คือจะมีการอ่านที่ 8.04 MB/s และการเขียนที่ 6.83MB/s มีขนาดเท่า RS-MMC ทั้งขนาดและรูปร่าง แต่จะมีส่วนที่กลายเป็นช่องเสียบในที่เสียบ USB ของคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค และอีกด้านหนึ่งเป็นที่เสียบเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้เก็บหน่วยความจำ การใช้งานคล้าย handy drive  แต่มันใช้ได้มากอุปกรณ์กว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น